ความรู้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
- ทำไมต้องให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อโดยทางน้ำลายและเสมหะ[airborn droplet]ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายเองใน2-3วันบางส่วนต้องนอนโรงพยาบาลและเสียวชีวิตโดยเฉพาะผู้สูงอายุอาการของไข้หวัดใหญ่ ไขหนาวสั่น้ เจ็บคอ ไอปวดศีรษะปวดตามกล้ามเนื้อ
- ทำไมต้องฉีดทุกปี 1.เพราะเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงทุกปีดังนั้นการผลิตวัคซีนจึงมีการเปลี่ยนแปลงทุกปีเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุ 2.ภูมิคุ้มกันที่เกิดจะเฉพาะเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเท่านั้น 3.หลังฉีด2สัปดาห์จึงเกิดภูมิต้านทานโรคและอยู่ได้1ปี หลังจากนั้นหากได้เชื้อตัวเดิมก็สามารถป่วยเป็นโรคได้
- ใครควรได้รับวัคซีน ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นประจำ ควรจะฉีดในผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดใหญ่
- ผู้ใหญ่อายุเกิน65ปี
- เด็กอายุ 6-23 เดือน
- ผู้ที่อาศัยในสถานพักฟื้น สถานสงเคราะห์คนชรา
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต โรคปอด โรคตับ โรคเลือด โรคหอบหืด
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น โรคเอดส์ ผู้ป่วยที่ได้รับยา steroid ผู้ป่วยรังศีรักษาหรือเคมีบำบัด
- เด็ก6เดือนที่ได้รับ aspirineในการรักษาโรค[ถ้าได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิด [Reye Syndrome]
- หญิงตั้งครรภ์3เดือนขึ้นไปในขณะที่มีการระบาดของโรค
- เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ต้องสัมผัสโรค
- เจ้าหน้าที่ที่บริการสังคม
- นักท่องเที่ยว
- นักเรียนหรือนักศึกษาเพื่อป้องกันการระบาด
- บุคคลที่ต้องการฉีด
ภูมิคุ้มกันจะขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีน
ผู้ที่อายุ50-64 ปี
ได้มีการศึกษาพบว่าร้อยละ 29 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ข้อซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสียงก็ได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน จึงแนะนำว่าควรที่จะฉีดวัคซีนให้กับคนในกลุ่มนี้ทุกคน แทนที่จะเลือกเฉพาะคนที่ป่วย
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคนที่มีปัจจัยเสี่ยง
เจ้าหน้าที่ผู้ดูและผู้ป่วยเรื้อรังซึ่งจัดเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่นโรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ โรคเลือด โรคมะเร็งฯลฯ เจ้าหน้าที่เหล่านี้อาจจะนำเอาเชื้อไขหวัดใหญ่มาให้ผู้ป่วยโดยที่ตัวเองยังไม่เกิดอาการ ได้มีการศึกษาพบว่าหากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ อัตราการตายของผู้ป่วยโรคเรื้อรังจะลดลง เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้แก่
- แพทย์ พยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ
- คนงานในสถานที่เลี้ยงดูผู้สูงอายุ
- สมาชิกในครอบครัวกลุ่มเสี่ยง
คนท้องกับการฉีดวัคซีนไข้หวัด
จากการะบาดครั้งก่อนพบว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์จะมีอัตราการมีโรคแทรกซ้อนเนื่องมาจากเป็นไข้หวัด จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า หากตั้งครรภ์ 14-20 สัปดาห์จะมีอัตราการนอนโรงพยาบาล 1.4 เท่า หากตั้งครรภ์ 37-42 สัปดาห์จะมีอัตราการนอนโรงพยาบาล 4.7เท่าของผู้ป่วยหลังคลอด จึงมีคำแนะนำว่าผู้ที่ตั้งครรภ์ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปควรจะฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในช่วงที่มีการระบาดของโรค สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์และมีโรคประจำตัวก็ให้ฉีดวัคซีนโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโรคระบาด
สำหรับคนที่ให้นมบุตรก็สามารถฉีดวัคซีนได้โดยไม่เป็นผลเสีย
อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้านการฉีดวัคซีนดังกล่าวแก่กลุ่มเสี่ยงข้างต้น
5. เมื่อไหร่จึงจะฉีดวัคซีน
- เด็กอายุน้อยกว่า9ปีให้ฉีด1ครั้ง
- อายุมากกว่า9ปีให้ฉีด2ครั้งห่างกัน1เดือน
สามารถให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ร่วมกับวัคซีนชนิดอื่นได้เช่น วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
6. ฉีดวัคซีนไปแล้วสามารถฉีดซ้ำได้หรือไม่ สามารถฉีดได้เนื่องจากเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงเร็ววัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อ Influenza virus เท่านั้น
- บุคคลใดที่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนได้รับวัคซีน.
- ผู้ป่วยแพ้ไข่ขาว
- แพ้วัคซีน influenza vaccine
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติเป็น Guillain-Barre Syndrome
- ขณะที่กำลังมีไข้สูง
8. ผลข้างเคียงของวัคซีน
- อาการบริเวณที่ฉีด เจ็บบริเวณที่ฉีดซึ่งไม่มาก และจะหายใน 2 วัน
- อาการทั่วๆไปจะมีไข้ ปวดตามตัวหลังจากฉีด 6-12 ชั่วโมงและอยู่ได้นาน 1-2 วัน บางรายอาจจะมีผื่นลมพิษริมฝีปากบวม
ขนาดและวิธีการให้วัคซีน
วัคซีนไขหวัดใหญ่ชนิดฉีด
วัคซีนชนิดฉีดนี้เป็นวัคซีนที่เตรียมจากเชื้อโรคที่ตายแล้ว
อายุ |
ขนาด |
จำนวนครั้ง |
ตำแหน่งที่ฉีด |
6-35 เดือน |
0.25 มล. |
2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน |
กล้ามเนื้อต้นขา |
3-8 ปี |
0.5 มล. |
2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน |
กล้ามเนื้อหน้าขา |
มากกว่า 8 ปี |
0.5 มล. |
1 ครั้ง |
กล้ามเนื้อไหล่ |
วัคซีนชนิดสูดทางจมูก
วัคซีนนี้เกิดจากการทำให้เชื้อโรคอ่อนแรงแต่ยังไม่ตาย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง วัคซีนประกอบไปด้วยเชื้อ 3 ชนิดเหมือนกับชนิดฉีด เริ่มใช้ในประเทศรัสเซีย จากการทดลองเบื้องต้นพบว่าได้ผลดี กำลังรอการอนุมัติจากองการอาหารและยา
อายุ |
ขนาด |
จำนวน |
วิธีการ |
5-8 ปี |
0.5 |
1-2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน |
พ่นเข้าจมูกข้างละ 0.25 มล |
9-49 |
0.5 |
1 ครั้ง |
พ่นเข้าจมูกข้างละ 0.25 มล |
ไม่ควรให้วัคซีนชนิดพ่นจมูกในผู้ป่วยใด
- ผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี
- ผู้ป่วยอายุมากกว่า 50 ปี
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเอดส์ เป็นต้น
- ผู้ที่ต้องรับประทาน aspirin
- คนที่ตั้งครรภ์
- คนที่มีประวัติแพ้วัคซีน
- คนที่มีประวัติเป็น Guillain-Barr? syndrome